เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่ งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เข้าร่วมการประชุม Thailand Reinsurance Conference (TRC) 2025 ซึ่งถือเป็นงานประชุมด้านประกั นภัยต่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี จัดโดยสมาคมประกันวินาศภัยไทยร่ วมกับสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ภายใต้แนวคิด “Unlocking Reinsurance Opportunities in a Changing Climate : Building Catastrophe Resilience in Thailand” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญระดั บนานาชาติ
ด้านการประกันภัยและการประกันภั ยต่อ เพื่อสร้างแนวทางความร่วมมื อในการบริหารความเสี่ยงภัยพิบั ติและเสริมสร้างความยั่งยืน ของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้ พร้อมรับการเปลี่ ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทวี ความรุนแรงมากขึ้น โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากบริ ษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยต่อ รวมถึงนายหน้าประกันภัยต่อทั้ งในและต่างประเทศ เข้าร่วมกว่า 400 คน ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
ในโอกาสนี้ นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. ได้รับเกียรติเป็นผู้บรรยายพิ เศษ หัวข้อ “Strengthening Insurance Solvency and Market Resilience : The Regulatory Role in Managing Catastrophe Risk” โดยได้กล่าวถึงบทบาทสำคั ญของหน่วยงานกำกับดูแลในการเสริ มสร้างความมั่นคงทางการเงิน (Solvency) และความสามารถในการรับมือภัยพิ บัติของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย เพื่อให้ระบบประกันภั ยสามารถรองรับความเสี่ยงที่ทวี ความรุนแรงขึ้นจากภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ได้กลายเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่ วนต้องให้ความสำคัญ โดยสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการยกระดับการบริ หารความเสี่ยงภัยพิบัติในภาคธุ รกิจประกันภัยอย่างเป็นระบบทั้ งในระยะสั้นและระยะยาวผ่าน 4 แนวทางหลัก ได้แก่
1. เพิ่มมุมมองความเสี่ยงให้ ครอบคลุมภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ให้รอบด้าน ไม่จำกัดเพียงอุทกภัยและแผ่นดิ นไหว แต่รวมถึงภัยธรรมชาติอื่นๆ รวมถึงใช้กรณีแผ่นดินไหวที่เกิ ดขึ้นในปี 2568 ในการประเมินระดับความพร้ อมและศักยภาพการตอบสนองของภาคธุ รกิจต่อภัยพิบัติในทุกมิติ
2. ยกระดับกรอบการกำกับดูแลด้านเงิ นกองทุนตามความเสี่ยง (Risk-Based Capital: RBC Framework) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงภัยพิบัติ (Catastrophe Risk) โดยเทียบเคียงกั บมาตรฐานสากล อาทิ Insurance Capital Standard (ICS) และ Solvency II เป็นต้น เพื่อให้การคำนวณเงินกองทุนสะท้ อนความเสี่ยงที่แท้จริงได้ดียิ่ งขึ้น
3. ยกระดับมาตรฐานการบริหารความเสี่ ยงของบริษัทประกันภัย ผ่านการพัฒนากรอบการประเมิ นความเสี่ยงให้เข้มแข็ง และเสริมสมรรถนะระบบบริ หารความเสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM) ตลอดจนปรับปรุงแผนการประกันภั ยต่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้ น
4. มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์ กรและระบบการกำกับดูแลที่ให้ ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ ยงภัยพิบัติเชิงรุก ด้วยการเตรียมพร้อมล่วงหน้า มองการณ์ไกล และบริหารความเสี่ยง เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกั นให้กับธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่ งยืน
“การสร้างภูมิคุ้มกันต่อภัยพิบั ติ เป็นภารกิจร่วมกันของทั้งหน่ วยงานกำกับดูแลและภาคธุรกิ จประกันภัย ซึ่งต้องอาศัยการบู รณาการและความร่วมมืออย่างต่ อเนื่อง เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยมีทั้ งเสถียรภาพ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน และความมั่นคงของประเทศได้อย่ างแท้จริง โดยเน้นย้ำว่า ภูมิคุ้มกันจากภัยพิบัติไม่ได้ เกิดจากเงินกองทุนที่เข้มแข็ งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการวางแผนเชิงรุก การเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน และความร่วมมือของทุกภาคส่วน ซึ่งสะท้อนบทบาทสำคัญของสำนั กงาน คปภ. ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกั นภัยไทยให้ก้าวสู่ความมั่ นคงและยั่งยืนในระดับสากล” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

















