วันที่ 8 ต.ค. 2568 ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 ในหัวข้อ The Future Direction of Thailand : เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศไทยไปทางไหน? ซึ่งภายในงานได้การเสวนาในหัวข้อ “พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน” โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ประกอบด้วย นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย , นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ข้อสำคัญหลังจากนี้ประเทศไทยและรัฐบาลจะต้องเร่ง Unlocking และ Tranform ไปให้ได้ โดยการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเทคโนโลยีเอไอ การค้า ยุทธศาสตร์พลังงานทุกอย่าง และเรื่องต่างๆ หวังให้ปลดล็อกศักยภาพประเทศไทยให้มีศักยภาพแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ ตามทันโลกใหม่ เพราะไทยไม่ได้ปรับเปลี่ยนมานาน และมีกฎหมายล้าหลัง ซึ่งนายกฯได้รับทราบแล้ว พร้อมกับปลดล็อกกำลังซื้อประชาชน เศรษฐกิจฐานราก สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พร้อมให้สภาพคล่องเอสเอ็มอี และแข่งขันการค้าการเกษตรได้
นอกจากนี้ต้องปลดล็อกการค้าเสรี (FTA) ทั้งยุโรป อาเซียน แคนาดา และอื่นๆ ขณะที่เรื่องสำคัญที่ต้องปลดล็อกคือความโปร่งใส ด้านคอร์รัปชัน เพราะเป็นมะเร็งร้ายสร้างความเสียหายมากถ้าปลดล็อกคอรัปชันไม่ได้ จะส่งผลเสียต่อการลงทุนประเทศ เชื่อว่าไทยต้องต่อสู้คอร์รัปชัน โดยภาคเอกชนจะร่วมกับหน่วยงานสำคัญที่จะประกาศความร่วมมือในเร็วๆนี้ เช่น องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือปปท. เป็นต้น โดยอยากให้รัฐบาลประกาศซีโร่ คอร์รัปชันเป็นนโยบาย และมองว่าถ้าพรรคการเมืองไหนประกาศซีโร่ คอร์รัปชันเชื่อว่าจะได้เสียงจากประชาชนมาก
ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ไว้ที่ 1.8-2.2% การส่งออก 2-2.5% เงินเฟ้อ 0-0.5% ซึ่งจะมีการปรับอีกครั้งในเดือน พ.ย.นี้ โดยประมาณการเศรษฐกิจปี 69 เห็นความหวังจากการที่มีรัฐบาล มีนายกฯ มีรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจจากคนนอกเข้ามาช่วยคงขับเคลื่อนดีกว่ารัฐบาลรักษาการ แม้จะมีระยะเวลาสั้น 4 เดือนแต่นายกฯ ให้ความสนใจรับฟังความเห็นภาคเอกชนพอสมควร และออกเป็นนโยบายระยะสั้นครบถ้วน ถูกต้อง
ขณะเดียวกันต้องติดตามว่าความร่วมมือด้านการค้าเสรี FTA EU ในยุโรป และการเจรจาการค้าสหรัฐจะจบอย่างไร โดยเฉพาะในเรื่องกำหนด Local Content หวังว่าจะไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกและเศรษฐกิจในปี 69 รวมทั้งเรื่องการท่องเที่ยวที่ปีนี้ต่ำกว่าคาดมาก ซึ่งที่สำคัญต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีน เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย โดยได้แนะนายกฯเดินทางไปประเทศจีนด่วน หรือหามาตรการดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประเทศให้ได้
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้างประเทศและเศรษฐกิจไทย มองว่าต้องขับเคลื่อนด้วย 4 GO คือ GO Digital and AI เชื่อว่า 4 เดือนนี้ต้องเร่งรีสกิลและอัพสกิล, GO Innovation ไทยยังติดกับดักรายได้ปานกลางของประเทศ จากปัจจุบัน 7,500 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี ยังอีกครึ่งทางกว่าจะถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี ทำให้ต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ , GO Global หาตลาดใหม่ และ Go Green กติกาโลกใหม่ สิ่งแวล้อมลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เป้าหมาย Roadmap Net Zero 2050 จากเดิม 2065
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยได้พึ่งพาส่งออก 60% และการท่องเที่ยว 10% ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลัก แต่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและค่าเงิน โดยเฉพาะค่าเงินบาทก่อนที่ กกร.ส่งสัญญาณเงินบาทแข็งค่า 7% แต่ปัจจุบันแข็งค่าลดลงมาเหลือ 5% ขณะที่สอท.ได้ประกาศไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เทรนด์สินค้าใหม่ เห็นว่าการย้ายฐานผลิตจากจีนมาภูมิภาคนี้ เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ตั้งใจปรับโครงสร้าง จากดั้งเดิมให้สร้างมูลค่าสูง พร้อมเปลี่ยนทักษะบุคลากร และเปลี่ยนจากผลิตแบบ OEM เป็น ODM ให้มีแบรนด์ตัวเอง ปรับโครงสร้างวิธีคิดใหม่
สำหรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทย หลังจากในครึ่งปีแรกขยายตัว 3% เป็นไตรมาสแรกทำได้ดี 3.2% และไตรมาส 2 ขยายตัว 2.8% แต่ในไตรมาส 3 เริ่มชะลอลงมาอยู่ที่ 1.7% และคาดว่าในไตรมาส 4 อยู่ที่ 0.3% ดังนั้นสิ่งที่กกร.คาดการณ์ไว้คือทั้งปี 68 เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะอยู่ที่ 1.8-2.2% แต่ในปี 69 เชื่อว่าจะดีขึ้น ดูได้จากการประมาณการของธนาคารโลก หรือด้าน ไอเอ็มเอฟ ที่คาดว่าจีดีพีไทยปี 69 อยู่ที่ 2% เนื่องจากอาจมองว่าสงครามการค้ากับสหรัฐจะได้ข้อสรุป
“สิ่งที่ประเทศไทยต้องระวัง คือ ปัญหารายได้ประเทศไทย เพราะไทยเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออก 60% และพึ่งพาการท่องเที่ยว 10% เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าจะยิ่งกระทบการท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ตั้งไว้ 40 ล้านคน เท่าก่อนโควิด รายได้ 2 ล้านล้านบาท แต่เหลืออีก 3 เดือน กกร.ส่งเสียงเรื่องนี้ เพราะต้องค้าขายต่างชาติ ถ้าค่าเงินแข็งค่า สินค้าจะแพง เช่นเดียวกับท่องเที่ยว เช่น ต่างประเทศ ญี่ปุ่นค่าเงินเยนอ่อนค่ามาก เป็นตัวสนับสนุนการท่องเที่ยว” นายเกรียงไกร กล่าว
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า มองไป 5 ปีข้างหน้า มีข้อมูลจากองค์กรต่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดเศรษฐกิจไทยเติบโต 2.7% แต่ค่าเฉลี่ยในอาเซียนเติบโต 4.5% ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่น เพราะ 1.ปัญหาเชิงโครงสร้าง 2.ผลิตภาพ 3.ประสิทธิภาพภาครัฐ โดยไม่มีใครอยากลงทุนในประเทศ แต่มีแต่คนอยากใช้เงินกระตุ้นโดยไม่ได้มองระยะยาวและความยั่งยืน สะท้อนโครงสร้างที่ไม่มีใครอยากลงทุนในไทย
ทั้งนี้ มาจากข้อมูลดัชนีจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สัดส่วน 65% ที่มีราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price to Book) ต่ำ ทำให้ไม่มีใครอยากมาลงทุน และสภาพคล่องในประเทศไหลออกลงทุนต่างประเทศผ่าน FIF Fund (Foreign Investment Fund) รวมทั้งบริษัทในไทยไปลงทุนต่างประเทศเป็นมูลค่าหลายล้านล้านบาท ซึ่งเกิดคำถามว่าทำไมไม่ไปลงทุนในประเทศ
อย่างไรก็ตามปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่อง ปล่อยสินเชื่อผ่านตลาด Repo กับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และซื้อพันธบัตรระยะสั้นของธปท.เฉลี่ย 5 ล้านล้านบาท แต่สภาพคล่องไม่ถูกหล่อเลี้ยงในระบบอย่างเอสเอ็มอี คนตัวเล็ก เพราะกลุ่มนี้มีผลต่อการจ้างงานประเทศสูง 70% ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนสูง ประชากรอายุมาก ซึ่งมองว่าถ้าจะพลิกฟื้นออกจากกับดักมี 2 เรื่อง คือ ต้องใช้เทคโนโลยี และความยั่งยืน โดยอาจเป็นจุดพลิกผันออกจากกับดักเพราะประเทศไทยอ่อนแอ ไม่มีความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับภาคครัวเรือน และผู้ประกอบการรายย่อย
ขณะที่ กกร.มองนโยบาย Quick Big Win เป็นเรื่องสำคัญ และได้เสนอแนะความร่วมมือการปฏิรูปประเทศผ่าน Reinvent Thailand และมีความร่วมมือระหว่าง กกร. และหน่วยงานเศรษฐกิจ เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และอยู่ระหว่างหาแนวร่วม เช่น ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ , สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) , สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นๆ
“ควรต้องเร่งโฟกัสอยู่บนฐานความโปร่งใส และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยกกร.มองสามปัญหาพยายามเปิดเผยข้อมูลทั้งเศรษฐกิจนอกระบบ , หนี้นอกระบบ และดัชนีคอร์รัปชัน เป็นเป้าหารือในวงสาธารณะอยู่บนข้อเท็จจริงเป็นหลักที่ควรจะเป็น นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ไปสู่การแก้กฎหมายบนหลักนิติธรรม หวังการเพิ่มทักษะให้คนไทย แรงจูงใจต้องให้เข้ามาในระบบ เช่น คนละครึ่งพลัส ที่ให้คนเสียภาษีมีแรงจูงใจมากขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นเชิงสัญลักษณ์” นายผยง กล่าว