“7 มาตรการ” กรมประมงแก้ปลาหมอคางดำเต็มที่ ส่งผลการแพร่กระจายเบาบางลง สร้างทางรอดระบบนิเวศไทย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วลงสู่แหล่งน้ำเป็นวงกว้างในปี 2567 ได้สร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และชาวประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งดำเนินการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในทุกมิติ โดยบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน กำจัด นำไปใช้ประโยชน์ เยียวยาผลกระทบ ตลอดจนฟื้นฟูความหลากหลายและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศให้ได้มากที่สุด

17พ.ย.2568/ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 และประกาศการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ เป็นวาระแห่งชาติเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุม กำจัด และลดประชากรปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดในทุกพื้นที่ของประเทศไทยให้ได้มากที่สุด ผ่าน 7 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1.การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด โดยสามารถกำจัดปลาหมอคางดำ 7,325,234.50 กิโลกรัม ผ่านโครงการต่าง ๆ การปล่อยปลาผู้ล่า ภายใต้โครงการ “สิบหยิบหนึ่ง” ปล่อยปลาผู้ล่าลงบ่อของเกษตร จำนวน 27,000 ตัว และเกษตรนำปลาผู้ล่าปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติแล้ว จำนวน 386 ตัว

มาตรการที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำโดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง สำรวจความชุกชุมก่อนและหลังการปล่อยปลาผู้ล่า โดยกำหนดให้มีการสำรวจความชุกชุมทุกเดือนดำเนินการปล่อยผู้ล่ารวมทั้งสิ้น 1,130,600 ตัว ได้แก่ ปลากะพงขาว 404,500 ตัว ปลาอีกง 625,100 ตัว ปลาช่อน 58,000 ตัว ปลาทราย 20,000 ตัว ปลากดเหลือง 20,000 ตัว ปลาอื่น ๆ (ปลาเทพา) 500 ตัว(ข้อมูล ณ วันที่ 25 ก.ย. 2568)

ปีงบประมาณ 2569 ได้รับสนับสนุนพันธุ์ปลากะพงขาวจากเอกชน ขนาด 4 – 5 นิ้ว จำนวน 25,000 ตัว คงเหลือส่งมอบ 391,000 ตัว จากแผนฯ ทั้งหมด 416,000 ตัว ปล่อยปลาผู้ล่าในพื้นที่ที่มีการกำจัดอย่างต่อเนื่อง และมีความชุกชุมลดลงโดยจัดสรรให้พันธุ์ปลามีความหลากหลายมากขึ้นเช่น ปลาอีกง ปลากดคัง ปลาช่อน ปลากะพงขาว โดยใช้งบปกติของกรมประมง

มาตรการที่ 3 การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออก จากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ ทำปลาป่น 2,001,069 กก. คิดเป็นมูลค่าประมาณ 34 ล้านบาท (จากโควตา 2,000,000 กก.) ทำน้ำหมักชีวภาพ 4,938,740.50 กก. คิดเป็นมูลค่าประมาณ 98 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรชาวสวนได้ใช้น้ำหมักชีวภาพคุณภาพสูง โดยร่วมมือกับกรมพัฒนาที่ดิน และ การยางแห่งประเทศไทย นอกจากนี้นำไปแปรรูป ผลิตปลาร้า 201,039.00 กก. นำไปบริโภค ประมาณ 184,386 กก. ปลาขนาดใหญ่ขายได้กิโลกรัมละ 40 บาท แปรรูป ทำปลาแดดเดียว ปลาหวาน กะปิ น้ำปลา และนำส่งโรงงานลูกชิ้น ราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีความพร้อมนำปลาหมอดางดำไปแปรรูปเป็นปลาร้าคุณภาพ จำนวน 20 กลุ่ม ในพื้นที่ 9 จังหวัด

มาตรการที่ 4 การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจาย ปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตกันชน จัดทำ QR Code ระบบแจ้งตำแหน่ง 148 เคส ออกประกาศห้ามเพาะเลี้ยง ห้ามเคลื่อนย้ายและที่เกี่ยวข้อง 11 ฉบับ (กฎหมายบังคับใช้ 7 ฉบับ) กำหนดจุดสำรวจ และจัดทำคู่มือผู้ปฏิบัติงานในการการสุ่มสำรวจการแพร่กระจายของประชากรปลาหมอคางดำมาตรการที่ 5 การสร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำบูรณาการการกำจัดและสร้างเครือข่ายความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานอื่นเช่น ราชทัณฑ์ อบท.พร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตร ผู้ช่วยกำจัดปลาหมอคางดำ

มาตรการที่ 6 การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม มีการจัดทำโครงการ การเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n เพื่อให้เกิดการเป็นหมันในปลาหมอคางดำ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการวิจัย และดำเนินการขยายหน่วยผลิตเพื่อให้มีศัทยภาพการผลิตลูกพันธุ์ปลา 4N เพิ่มขึ้น จัดทำฐานข้อมูลกลางเพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินงาน

มาตรการที่ 7 การฟื้นฟูระบบนิเวศ รวบรวมข้อมูล คุณภาพน้ำและองค์ประกอบ ความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละแหล่งน้ำ ผลิตสัตว์น้ำ ที่มีความหลากหลาย เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลานวลจันทร์ทะเล หอยหวาน หอยตลับ หอยลาย ปูม้าโดยในปิงบประมาณ 2568 กรมประมงผลิต และปล่อยสัตว์น้ำ ที่มีความหลาทหลายเพื่อฟื้นฟูความหลากหลายจำนวน 81,077,670 ตัว

ทั้งนี้จากการดำเนินมาตรการต่างๆ ของกรมประมง สำนักงานประมงมีการสำรวจปริมาณปลาหมอคางดำเป็นประจำทุกเดือน พบว่าความหนาแน่นของปลาหมอคางดำในภาพรวมทุกคลองลดลง จากชาวบ้านจับปลาขึ้นทุกวันเพื่อใช้บริโภคเพิ่มขึ้น และนำมาแปรรูปเพิ่มมากขึ้น ทั้งในรูปแบบปลาร้า น้ำปลา ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ และอาหารปลา ฯลฯ รวมทั้งการปล่อยปลาผู้ล่า เพื่อกำจัดลูกปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาด ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 – เดือนกันยายน 2568 พบปลาหมอคางดำ ในระดับความชุกชุมน้อย มีค่าเฉลี่ย 10 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร จำนวน 9 จังหวัด ในระดับความชุกชุมปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 10-100 ตัวต่อ 100 ตาราง จำนวน 7 จังหวัด และสำรวจไม่พบปลาหมอคางดำ 4 จังหวัด ซึ่งจากข้อมูลทางสถิติที่กรมประมงเก็บรวบรวมมา บ่งชี้ได้ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเริ่มอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นในทุกจังหวัด

ในปี 2569 – 2570 นั้น กรมประมงจะยังคงดำเนินการในทุกมาตรการอย่างเข้มข้นให้สอดคล้องกับ7 มาตรการ โดยเฉพาะพื้นที่แหล่งน้ำที่ควบคุมกำจัดยาก อาทิ บริเวณป่าชายเลน พื้นที่ที่มีวัชพืชปกคลุมหนาแน่น พื้นที่ส่วนบุคคล หรือเป็นแหล่งที่มีสารอินทรีย์สูงเหมาะสมต่อการอาศัยและเพิ่มจำนวนของปลาหมอคางดำ เช่น คลองรับน้ำทิ้งจากบ้านเรือน ชุมชน ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แปลงเลี้ยงหอย ท่าเทียบเรือประมง ฯลฯ หลังจากควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำได้อย่างเหมาะสมแล้ว กรมประมงจะเร่งปล่อยพันธุ์ปลาพื้นเมืองของไทยกลับสู่ระบบนิเวศ เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติดั้งเดิมอย่างยั่งยืนต่อไป

หยกดำ ส่องเขียว รายงาน