ทีมงาน สนข.เดอะไทยเพลส มีโอกาสติดตาม คุณสมใจนึก เองตระกูล ประธานคณะกรรมการมูลนิธิกองทุนนิยมไทย ไปเยี่ยมชมแหล่งเลี้ยงปลากะพงยักษ์ ชื่อ “ขาวผ่องฟาร์ม” อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เมือง 3 น้ำ ซึ่งมีน้ำและภูมิอากาศเหมาะสมที่สุดต่อการเจริญเติบโตของปลา
คุณประโยชน์ โสรัจจกิจ เจ้าของขาวผ่องฟาร์ม เล่าว่า เดิมทีเป็น พนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ตัดสินใจลาออก เพื่อมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว โดยเริ่มจากเลี้ยงกุ้งขาวตามความนิยม แล้วจึงเปลี่ยนมาเลี้ยงปลากะพงขาว ในพื้นที่กว่า 100 ไร่
“ปัญหาที่พบ ก็คือ ผู้เลี้ยงปลา นิยมจับปลาขายในเวลาเดียวกัน ส่งผลกระทบในเรื่อง ปลาไซส์ตลาดขนาด 7-9 ขีด ใช้เวลาเลี้ยง 4-5 เดือน บางครั้ง เกิดปัญหาปลากะพงจากต่างประเทศ เข้ามาตีตลาด จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการขยายตลาดให้กว้างขึ้น เพื่อแก้ปัญหาปลากะพงราคาตกต่ำได้อย่างยั่งยืน จึงเปลี่ยนแนวคิด โดยหันมาเลี้ยงปลากะพงให้มีขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักตัวละ 3-9 กิโลกรัม ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 18-24 เดือน แต่ก็เจอปัญหาอีก เพราะปลาไซส์ใหญ่ หาตลาดยากเช่นกัน”
อีกทั้ง ต้นทุนการเลี้ยงปลาไซส์ใหญ่ ต้องใช้อาหารสำเร็จรูป ปลากะพงขนาดตัวละ 5 กิโลกรัม ใช้เวลาเลี้ยง 18 เดือน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120 บาท 5 กิโลกรัมคิดเป็นเงิน 600 การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ นำมาแปรรูป ด้วยการแล่เป็นชิ้นๆ เพื่อจำหน่าย โดยนำเสนอเป็นเมนูปลากะพง ที่แปลกใหม่ สร้างแบรนด์ให้เกิดความน่าเชื่อถือ”
“ความน่าเชื่อถือที่ดีที่สุด คือระบบการจัดการฟาร์มที่ดี จะทำให้ผลผลิตปลากะพงมีคุณภาพ (Quality Management) ใช้ เทคนิคการเลี้ยงปลากะพงยักษ์ให้ได้ผลผลิตที่ดีคือ สายพันธุ์ต้องดี บ่อต้องดี ปูพื้นด้วยผ้าใบกันน้ำ PE (Polyethylene) ทำให้น้ำไม่เน่าเสียง่าย มีการดูดเลนกลางบ่อ การจัดการน้ำต้องดี ต้องสะอาด คุณภาพน้ำต้องดีตลอด มีการวัดค่าคุณภาพน้ำก่อนที่จะนำมาใช้ในฟาร์ม ซึ่งผลตอบแทนในท้ายที่สุดคือได้ผลผลิตที่ดี ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในสินค้า ถือเป็นการยกระดับคุณภาพสินค้าด้วย”
“นอกจากเทคนิคการบริหารจัดการน้ำแล้ว ฟาร์มยังได้นำเทคนิคจากญี่ปุ่นมาใช้คือ การเจาะเลือดปลาแบบญี่ปุ่น ที่เรียกว่า ‘อิเคะ จิเมะ’ เพื่อนำเลือดออกจากตัวปลา ทำให้ปลามีความสด ไม่คาว และเนื้อขาวใส มีผิวสัมผัส (Texture) ที่ดีด้วย โดยคุณภาพของปลาสามารถรับประทานสดได้ เป็นเกรดปลาดิบซาซิมิ ในขณะเดียวกันฟาร์มยังมีการบ่มเนื้อปลาเพื่อทำให้รสชาติของเนื้ออร่อยมากขึ้น เพื่อขยายตลาดปลาดิบซาซิมิที่มีความอร่อยและคุณภาพไม่แพ้ปลานำเข้าจากต่างประเทศ โดยผ่านกระบวนการแล่ด้วยโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน องค์การอาหารและยา (อย.), มาตรฐานฮาลาล, มาตรฐาน GMP / HACCP”
“ผมมองว่า ปลากะพงยักษ์ยังเพิ่มผลผลิต และขยายตลาดได้อีกมาก เพราะปลากะพงในบ้านเรามีปริมาณ 7,000 – 8,000 ตัน เมื่อแล่เป็นเนื้อปลาแล้วจะเหลือเพียง 4,000 ตันเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่มีโอกาสลิ้มลองรับประทานเนื้อปลากะพงยักษ์ หากได้ลองลิ้มรสเชื่อว่า ปลากะพงยักษ์ของไทย คุณภาพไม่แพ้ปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศ” คุณประโยชน์
สำหรับผู้สนใจ ปลากะพงยักษ์ ผลิตภัณฑ์ขอ “ขาวผ่องฟาร์ม” สามารถซื้อได้ ตามห้างสรรพสินค้า หรือ ร้านอาหารชื่อดัง ที่ https://kaopongfarm.com/ https://www.facebook.com/kaopongfarm/?ref=page_internal